การลำเลียงอาหาร

 

 

    การสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นที่บริเวณที่มีคลอโรฟิลล์ ส่วนใหญ่จึงเกิดที่ใบเมื่อสังเคราะห์ด้วยแสงได้แล้ว จะได้คาร์โบไฮเดรต พวกน้ำตาล และแป้งซึ่งสามารถทดสอบสารอาหารเหล่านั้นได้ อาหารเหล่านี้ พืชสามารถส่งไป เก็บตามส่วนต่าง ๆ ของพืชได้ พืชบาง ชนิดเก็บอาหารไว้ตามลำต้น เช่น หัวมันฝรั่ง เผือก แห้วจีน เป็นต้นพืชสามารถ ลำเลียงอาหารจากด้านบนลงล่าง และล่างขึ้นบนได้ นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทดลองเรื่องการลำเลียงอาหารของพืช คือ มัลพิจิ ในปี พ.ศ 2229 (ค.ศ. 1686) โดยการควั่นลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่ออก ตั้งแต่เปลือกไม้ออกจนถึงชั้น แคมเบียมแล้วทิ้ง 

    นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองบางอย่างทำให้พบว่าซูโครสเป็นโมเลกุลหลักๆ ที่ถูกขนส่งในโฟลเอม การทดลองดังกล่าวคือ การทำให้เพลี้ยอ่อน (Aphid) สลบด้วยการรมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะที่พวกมันกำลังดูดน้ำเลี้ยงจากโฟลเอมของพืช แล้วดึงเพลี้ยอ่อนออกมาจากต้นพืชแล้วศึกษาน้ำที่ไหลซึมออกมาโฟลเอมในพืชชนิดต่างๆ จึงพบว่าน้ำตาลซูโครสเป็นสารอินทรีย์ส่วนมากที่พบอยู่ในนั้น

โฟลเอมประกอบไปด้วยเซลล์ 4 ประเภท ได้แก่


1.ซีฟทิวบ์ (Sieve Tube)🌲  

    เป็นเซลล์ที่มีลักษณะยาวและเชื่อมต่อกันตลอดต้นพืช ทำหน้าที่ในการขนส่งสารอินทรีย์ในต้นพืช บริเวณปลายที่เชื่อมต่อกันมีแผ่นบางๆ กั้น แต่แผ่นดังกล่าวมีรูพรุน เซลล์ชนิดนี้มีชีวิต และเมื่อเติบโตเต็มที่แล้วจะไม่มีนิวเคลียส

2.คอมพาเนียนเซลล์ (Companion Cells)🌲 

    เป็นเซลล์ที่ประกบข้างซีฟทิวบ์ทำหน้าที่ช่วยขนส่งสารอินทรีย์

3.โฟลเอม ไฟเบอร์ (Phloem Fibre)🌲 

    เป็นโครงสร้างค้ำจุนท่อลำเลียงสารอินทรีย์ให้แข็งแรง

4. โฟลเอมพาแรงไคมา (Phloem parenchyma)🌲  

    ช่วยในการลำเลียงสารอินทรีย์และเก็บสะสมสารอินทรีย์ไว้ในรูปแป้ง โปรตีน และไขมัน

🌱ทิศทางการลำเลียงของพืช 

            พืชสามารถลำเลียงอาหารได้ทั้ง 2 ทิศทาง คือ การลำเลียงขึ้นสู่ยอด และการลำเลียงลงสู่ราก โดยพืชจะลำเลียงอาหารผ่านทางซีฟทิวบ์ของโฟลเอ็ม  
        พืชจะลำเลียงจากแหล่งที่มีการสร้างอาหาร เรียกว่า "แหล่งสร้าง" ไปยังบริเวณที่สร้างอาหารได้น้อย ไม่มีการสร้างเลย หรือบริเวณที่ต้องเก็บสะสมอาหาร เรียกว่า "แหล่งรับ"

 

🌱กลไกการลำเลียงอาหารของพืช

        น้ำตาลกลูโคสที่พืชสร้างขึ้นจะถูกลำเลียงออกมาในไซโทพลาสซึม แล้วเปลี่ยนเป็น น้ำตาลซูโครส  ซูโครสจะเคลื่อนย้ายจากแหล่งสร้างไปยังซีฟทิวบ์ของโฟลเอ็ม โดยการลำเลียงแบบใช้พลังงาน หรือ Active transport และลำเลียงไปยังส่วนต่างๆของพืช การลำเลียงอาหารในโฟลเอ็ม "อาศัยความแตกต่างของความดันในซีฟทิวบ์ระหว่างแหล่งสร้าง และแหล่งรับ"  ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของสารในโฟลเอ็ม 


🌱1.การแพร่ (Difusion) 


    

    เป็นการลำเลียงอาหารจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งโดยเคลื่อนที่ไปตามความเข้มข้นของสาร จากบริเวณที่มีอาหารเข้มข้นมากกว่าไปยังบริเวณที่มีอาหารเข้มข้นน้อยกว่า

🌱2.การไหลเวียนของโพรโทพลาซึม (Protoplasm streaming) 


    
    
    ศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฮอลันดาชื่อ ฮูโก เด ฟรีส์ (Hugo De Vries) โดยพบว่าการเคลื่อนที่ของสารละลายภายใน ซีฟทิวบ์ของโฟลเอ็ม เกิดจากการไหลเวียนของโพรโทพลาซึม หรือที่เรียกว่า ไซโคลซิส (Cyclosis) 
    
    อาหารภายในโพรโทพลาซึมของซีฟทิวบ์เคลื่อนตัวออกจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง โดยผ่านพลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) ซึ่งเชื่อมโยงกันกับ ซีฟเพลต (Sieve plate) ซึ่งเป็นบริเวณที่ติดต่อกันระหว่างซีฟทิวบ์แต่ละเซลล์ 
    
    การเคลื่อนที่โดยการไหลเวียนของอาหารในโพรโทพลาซึมของซีฟทิวบ์เกิดขึ้นในเซลล์ที่มีชีวิตเท่านั้นและการลำเลียงเชื่อมต่อกันได้

🌱3.การไหลของอาหารเนื่องจากแรงดัน ( Pressure flow) 

 

    การไหลของอาหารโดยวิธีนี้ศึกษาและเสนอทฤษฎีโดยนักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมัน อีมึนจ์(E. Munch) คือทฤษฎีแรงดันเต่ง (Pressure flow theory) มีกลไกสำคัญคือ
           
     -เซลล์ในชั้นมีโซฟิลล์ (Mesophyll)  ของใบสังเคราะห์ด้วยแสงได้น้ำตาลกลูโคสมากขึ้นทน้ำตาลกลูโคสเคลื่อนที่จากเซลล์มีโซฟิลล์เข้าสู่เซลล์ห่อหุ้มกลุ่มท่อลำเลียง (Bundle sheath cell)
   
     -การสะสมน้ำตาลซูโครสในเซลล์ห่อหุ้มกลุ่มท่อลำเลียง เปลี่ยนเป็นน้ำตาลซูโครส ทำให้มีการสะสมน้ำตาลซูโครสมากขึ้น เกิดการขนส่งซูโครสแบบ active transport จากเซลล์ห่อหุ้มกลุ่มท่อลำเลียงเข้าสู่โพรโทพลาซึมของซีฟทิวบ์ ซึ่งต้องมีการใช้พลังงานจาก ATP จำนวนมาก
           
     -การสะสมน้ำตาลซูโครสในซีฟทิวบ์ทำให้น้ำจากเซลล์ข้างเคียง เช่น เซลล์มีโซฟิลล์และเซลล์ห่อหุ้มกลุ่มท่อลำเลียง แพร่เข้าสู่ซีฟทิวบ์ ทำให้ซีฟทิวบ์มีแรงดันเพิ่มขึ้นจะดันสารละลายให้เคลื่อนผ่านซีฟทิวบ์ที่เรียงติดกันจากแผ่นใบเข้าสู่ก้านใบ กิ่ง และลำต้นของพืชตามลำดับ
           
     -อาหารจะเคลื่อนตัวจากใบไปยังส่วนต่างๆเพื่อใช้หรือสะสม เช่นที่ราก ดังนั้นใบจึงมีความเข้มข้นของสารอาหารสูงกว่าบริเวณราก และที่เซลล์รากจะมีการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแป้งซึ่งไม่ละลายน้ำ

🌱โครงสร้างพืช ประกอบด้วย

1. ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน 96%

2.สารอาหาร 4% ประกอบด้วย
    
    ธาตุอาหารหลัก (macronutrient) พืชต้องการในปริมาณมาก ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม(K) แคลเซียม(Ca) แมกนีเซียม(Mg) กำมะถัน (S)และซิลิกอน (Si)
    
    ธาตุอาหารรอง (micronutrient) พืชต้องการในปริมาณน้อย ได้แก่ คลอรีน(Cl) เหล็ก(Fe) สังกะสี (Zn) แมงกานีส(Mn) ทองแดง(Cu) โบรอน(B) โมลิบดินัม(Mo) และนิเกิล(Ni)

🌱การลำเลียงอาหารผ่านทางโฟลเอ็มทำได้โดยอาศัยกลไกต่างๆ ดังนี้

1.ความแตกต่างของความดันของสารระหว่างแหล่งสร้าง(source)กับแหล่งรับ(sink)
   
แหล่งสร้าง คือ ใบ หรือบริเวณที่พืชสารมารถสร้างอาหารได้

แหล่งรับ คือ ราก ยอด ลำต้น

2.กลไกการไหลเวียนของไซโทพลาสซึมภายในซีฟทิวป์เมมเบอร์ ทำให้อาหารเคลื่อนที่ไปผ่านรูตะแกรงบริเวณซีฟเพลทได้ทั้งขึ้นด้านบน และลงด้านล่าง


สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้



แหล่งที่มาของข้อมูล

ความคิดเห็น